วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ข้าวฟ่างหวาน ( SweetSorghum )

SweetSorghum ข้าวฟ่างหวาน ปลูกเพื่อผลิตเป็นเอทานอลคุ้มค่าต่อการลงทุนโรงงานเอทานอลต้องไม่พลาด
ประเทศไทยมีพื้นฐานเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชากรประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ ประกอบอาชีพทางการเกษตร สภาพภูมิศาสตร์ และดินฟ้าอากาศที่ค่อนข้างเอื้ออำนวย ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรหลายชนิดมีมากเกินความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ เพราะต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศที่มีราคาไม่แน่นอน ปีไหนที่พืชผลราคาตกต่ำมากก็จะส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรโดยตรงทันที โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย ที่รัฐบาลต้องจัดหางบประมาณมาอุดหนุนเกือบทุกปีรวมกันปีละนับหมื่นล้านบาทในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มว่าประเทศไทยอาจจะเกิดปัญหาการขาดแคลนพลังงานขึ้นได้ในอนาคต เพราะแก๊สธรรมชาติ และน้ำมันของไทยมีอยู่อย่างจำกัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ จึงต้องนำเข้าในปริมาณที่มากขึ้นทุกปี ทำให้ต้องสูญเสียเงินตราให้กับต่างประเทศในปี 2550 เป็นเงิน 752,783 ล้านบาท ( เฉพาะน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป)ในการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าการส่งออกข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล และผลิตภัณฑ์แปรรูปของพืชเหล่านี้รวมกัน นั่นหมายความว่าประเทศไทยผลิตสินค้าเหล่านั้นไปเลี้ยงชาวโลก เพียงเพื่อแลกกับการนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้ภายในประเทศเท่านั้น ประเทศไทยจึงไม่มีรายได้เหลือพอที่จะนำมาใช้พัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2548 จนถึงปัจจุบันประเทศไทยขาดดุลการค้าเกือบทุกเดือน ซึ่งสาเหตุหลักก็คือ การสูญเสียเงินตราจากการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง กลุ่มโอเปกมีนโยบายที่จะตรึงราคาน้ำมันดิบที่ 65 เหรียญสหรัฐในปี 2551 แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดียมีความต้องใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้นทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2547 ถึงปัจจุบัน จากบาร์เรลละ 25 เหรียญสหรัฐ เฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 92 เหรียญสหรัฐและคาดว่าในอนาคตอาจมีราคาสูงถึงอีกเรื่อยๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ ราคาสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจนี้ นับเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะต้องหันมาทบทวนนโยบายทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มก่อนที่จะส่งไปขายต่างประเทศรวมทั้งการใช้กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพง โดยการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบางชนิดให้เป็นพลังงาน เช่น การผลิตแอลกอฮอล์ หรือ เอทานอลและไบโอดีเซล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีนโยบายที่จะผสมเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ 99.5 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันเบนซินในสัดส่วน 20:80 หรือที่เรียกว่า E20 จะทำให้มีความต้องการเอทานอลสูงถึงวันละ 4.4 ล้านลิตร (ปัจจุบันประเทศไทยใช้น้ำมันเบนซิน ประมาณวันละ 22 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซลวันละ 53 ล้านลิตร)ในอนาคตหากมีการนำ E85 คือการผสมเอทานอลที่ระดับ 85 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันเบนซินทำให้มีความต้องการเอทานอลจำนวนมหาศาลซึ่งปัจจุบันประเทศบราซิลได้นำร่องไปแล้ว ในกรณีดังที่กล่าวมาวัตถุดิบอ้อย มันสำปะหลัง และกากน้ำตาลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีปริมาณไม่เพียงพอ นอกจากนี้แล้วทั้ง อ้อย มันสำปะหลังยังมีช่วงฤดูเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกันคือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึง เมษายน ทำให้เกิดช่องว่างในการป้อนวัตถุดิบเข้าโรงงานในช่วงเดือน พฤษภาคม ถึง ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนและเหมาะที่จะปลูกข้าวฟ่างหวานเพื่อเป็นวัตถุดิบเสริมในโรงงานผลิตเอทานอล แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับจากโรงงานผลิตเอทานอลที่กำลังสร้างขึ้นใหม่คือ โรงงานในกลุ่มน้ำตาลมิตรผล กลุ่มวังขนาย และบริษัทน้ำตาลขอนแก่น ดังนั้นคาดว่าในอนาคต ข้าวฟ่างหวานอาจจะเป็นพืชทางเลือกใหม่ที่เข้ามาเสริมระบบการผลิตเอทานอลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ ข้าวฟ่างหวาน (Sweet sorghum Sorghum bicolor (L.)Moench) เป็นพืชที่มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับข้าวฟ่างที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด (grain sorghum) ต่างกันตรงที่ภายในลำต้นจะมีปริมาณน้ำตาลซูโครสอยู่สูง ทำให้มีรสชาติหวานคล้ายอ้อย ในต่างประเทศมีการปลูกข้าวฟ่างหวานเพื่อใช้ทำน้ำเชื่อมเข้มข้นและน้ำตาลทราย แต่ปัจจุบันใช้ปลูกเพื่อผลิตแอลกอฮอล์หรือเอทานอลสำหรับผสมกับน้ำมันเบนซิน (เรียกแก๊สโซฮอล์) ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และเป็นการลดมลพิษในสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการเผาผลาญน้ำมันของรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงที่ได้จากฟอสซิล ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีพันธุ์ข้าวฟ่างหวานมากนัก เพราะเป็นพืชชนิดใหม่ที่ยังไม่มีการปลูก เพื่อนำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง จากการวิจัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า พันธุ์ เคลเลอร์ (Keller) ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย มีลำต้นสูงใหญ่ อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 100 วัน มีเมล็ดน้อย ช่อดอกหลวม ความหวาน 18-22 บริกซ์ เยื่อใย 10.5-13.5 เปอร์เซ็นต์ และค่าความบริสุทธิ์ของน้ำตาลประมาณ 9-10 ซีซีเอส (ปัจจุบันได้มีการแนะนำพันธุ์นี้ในชื่อข้าวฟ่างหวาน พันธุ์ มข.40) นอกจากนี้ก็มีพันธุ์ ริโอ (Rio) เรย์ (Wray) และพันธุ์สุพรรณบุรี1 ที่ใช้ปลูกเป็นข้าวฟ่างหวานเพื่อผลิตเอทานอลได้